ดาวอังคาร
ชื่อดาวอังคาร ชื่ออังกฤษคือ Mars ดาวอังคาร เป็นดาวเคราะห์ในระบบสุริยะที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 4 ชื่อละตินของดาวอังคาร (Mars) มาจากชื่อเทพเจ้าแห่งสงครามของโรมัน หรือตรงกับเทพเจ้า Ares ของกรีก เป็นเพราะดาวอังคารปรากฏเป็นสีแดงคล้ายสีโลหิต บางครั้งจึงเรียกว่า "ดาวแดง" หรือ "Red Planet" (ความจริงมีสีค่อนไปทางสีส้มอมชมพูมากกว่า)
สัญลักษณ์แทนดาวอังคาร คือ ♂ เป็นโล่และหอกของเทพเจ้ามาร์ส สมบัติของดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นอันดับที่ 4ในบรรดาดาวเคราะห์ทั้งหมด ดาวอังคารมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.5 เท่าของโลก ดาวอังคารมีส่วนประกอบด้วยแกนกลางที่เป็นของแข็ง ดาวอังคารมีโครงสร้างภายในประกอบด้วยแกนกลางที่เป็นของแข็ง มีรัศมีประมาณ 1,700 กิโลเมตร ห่อหุ้มด้วยชั้นแมนเทิลที่เป็นหินเหลวหนืด หนาประมาณ 1,600 กิโลเมตร และมีเปลือกแข็งเช่นเดียวกับโลกดาวอังคารมีบริวาล 2 ดวง คือ โฟบอส กับ ดีมอส
โฟบอส เป็นดวงจันทร์ 1 ใน 2 ดวงของดาวอังคาร อีกดวงคือไดมอส ดวงจันทร์โฟบอสตั้งชื่อตามลูกชายของเทพเจ้า Mars เป็นดวงจันทร์ที่มีวงโคจรใกล้กับดาวเคราะห์มากที่สุดในระบบสุริยะ โดยห่างจากศูนย์กลางดาวอังคารประมาณ 9,300 กิโลเมตรโฟบอสถูกค้นพบโดยนักดาราศาสตร์ชาวอเมริกัน Asaph Hall เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 1877 ซึ่ง Hall ยังเป็นผู้ค้นพบดาวบริวารอีกดวงของดาวอังคารคือ ไดมอส ด้วยโฟบอส มีขนาดประมาณ 20 x 28 กิโลเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 22 กิโลเมตร โคจรรอบดาวอังคารรอบละ 7 ชั่วโมง 39 นาที ซึ่งน้อยกว่าเวลาที่ดาวอังคารหมุนรอบตัวเอง ดังนั้น ถ้าเราอยู่บนดาวอังคาร จะเห็นโฟบอสขึ้นทางทิศตะวันตก และตกทางทิศตะวันออกถึงวันละ 3 รอบ
ดีมอส หรือ ไดมอส Deimos) เป็น 1 ใน 2 ดาวบริวารของดาวอังคาร โดยเป็นดาวบริวารที่เล็กกว่าและอยู่ไกลจากดาวอังคารมากกว่า ดีมอสถูกตั้งชื่อตาม ดีมอส ในเทพปกรณัมกรีกและโรมันดีมอสและดาวบริวารอีกดวงคือโฟบอสถูกค้นพบโดยนักดาราศาสตร์ชาวอเมริกัน Asaph Hall เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ค.ศ. 1877 โดยทั้งสองดวงมีรูปร่างบิดเบี้ยวไม่เป็นรูปกลม ซึ่งคาดกันว่าอาจเป็นดาวเคราะห์น้อยที่หลงเข้ามาแล้วดาวอังคารคว้าดึงเอาไว้ให้อยู่ในเขตแรงดึงดูดของตน
ดาวอังคารมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 6,786 กิโลเมตร
ระยะทางเฉลี่ยจากดวงอาทิตย์ 228,000,000 กิโลเมตรดาว
ระยะทางเฉลี่ยจากดวงอาทิตย์ 228,000,000 กิโลเมตรดาว
โครงสร้างของดาวอังคาร
เปลือกชั้นนอกของดาวอังคารเป็นชั้นของหิน มีสีแดงเพราะเป็นออกไซด์ของเหล็ก (สนิมเหล็ก) พื้นผิวเป็นที่ราบส่วนใหญ่มีก้อนหินเล็กกระจัดกระจ่ายไปทั่ว ชั้นกลางจะเป็นชั้นของหินซิลิเกต แกนกลางเป็นโลหะแข็ง
พื้นผิวดาวอังคารเต็มไปด้วยฝุ่นและก้อนหินระเกะระกะ เนื่องจากองค์ประกอบของดินส่วนใหญ่เป็น้หล็กจึทำให้ดาวอังคารมีสีสนิมเหล็กและที่บริเวณขั้วทั้งสองของดาวอังคารมีขั้วน้ำแข็งขนาดใหญ่อยู่ซึ่งประกอบไปดั้วน้ำแข็งและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์แห้ง
พื้นผิวดาวอังคารส่วนมากจะมีอายุเก่า และมีรอยอุกกาบาต ยกเว้นบริเวณ หุบเหว ทิวเขา เนินเขา และที่ราบ เป็นพื้นผิวที่มีอายุน้อยกว่า วงโคจร: 227,940,000 ก.ม. จากดวงอาทิตย์ เส้นผ่านศูนย์กลาง: 6,794 ก.ม. มวล: 6.4219 x 1023 ก. ก.ซีกโลกใต้ของดาวอังคารเป็นที่ราบสูงซึ่งเต็มไปด้วยหลุมอุกกาบาตโบราณ ลักษณะคล้ายคลึงกับ ดวงจันทร์ ซึ่งมีความแตกต่างกันมากกับทางซีกโลกเหนือของดาว ซึ่งเป็นที่ราบต่ำ มีอายุน้อยกว่า แต่มีประวัติความเป็นมาซับซ้อนมาก มีการเปลี่ยนแปลงระดับความสูง บริเวณขอบของพื้นที่ นับหลายกิโลเมตร อย่างรวดเร็ว ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด
พื้นผิวดาวอังคารส่วนมากจะมีอายุเก่า และมีรอยอุกกาบาต ยกเว้นบริเวณ หุบเหว ทิวเขา เนินเขา และที่ราบ เป็นพื้นผิวที่มีอายุน้อยกว่า วงโคจร: 227,940,000 ก.ม. จากดวงอาทิตย์ เส้นผ่านศูนย์กลาง: 6,794 ก.ม. มวล: 6.4219 x 1023 ก. ก.ซีกโลกใต้ของดาวอังคารเป็นที่ราบสูงซึ่งเต็มไปด้วยหลุมอุกกาบาตโบราณ ลักษณะคล้ายคลึงกับ ดวงจันทร์ ซึ่งมีความแตกต่างกันมากกับทางซีกโลกเหนือของดาว ซึ่งเป็นที่ราบต่ำ มีอายุน้อยกว่า แต่มีประวัติความเป็นมาซับซ้อนมาก มีการเปลี่ยนแปลงระดับความสูง บริเวณขอบของพื้นที่ นับหลายกิโลเมตร อย่างรวดเร็ว ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด
พื้นผิวของดาวอังคาร
ดาวอังคารมีชั้นบรรยากาศบางมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นก๊าซ
คาร์บอนไดออกไซด์ (95.3%) ไนโตรเจน (2.7%), อาร์กอน
(1.6%) ออกซิเจน (0.15%) และไอน้ำ (0.03%) ความหนาแน่น
เฉลี่ยเพียง 7 มิลลิบาร์ แต่มีความแตกต่างที่ระดับสูง เป็นต้นว่า
มีความหนาแน่นถึง 9 มิลลิบาร์ที่ก้นแอ่งที่ราบ และก็มีความหนา
แน่นเพียง 1 มิลลิบาร์ที่ยอดเขาโอลิมปุส มอนส์ ความหนาแน่น
ของบรรยากาศมีเพียงพอ ที่จะทำให้เกิดกระแสลมแรงมาก และ
พายุฝุ่นปกคลุมดาวเป็นเวลานับเดือน บรรยากาศที่เบาบาง
ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก ซึ่งทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นเพียง 5
องศาเคลวิน นับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับ ดาวศุกร์และ โลก ดาว
อังคารมีขั้วน้ำแข็งถาวร ปกคลุมทั้งสองขั้ว องค์ประกอบส่วน
ใหญ่เป็นน้ำแข็งแห้ง (คาร์บอนไดออกไซด์แข็งตัว) ซึ่งมี
โครงสร้างเป็นแผ่นน้ำแข็งทับถมตัวกัน ซึ่งบางครั้งก็สลับกับฝุ่น
สีเข้ม
ยานแลนเดอร์ลำแม่ ลงสำรวจพื้นผิวดาวอังคาร และยานสามารถติดต่อสื่อสารกับโลกได้
คาร์บอนไดออกไซด์ (95.3%) ไนโตรเจน (2.7%), อาร์กอน
(1.6%) ออกซิเจน (0.15%) และไอน้ำ (0.03%) ความหนาแน่น
เฉลี่ยเพียง 7 มิลลิบาร์ แต่มีความแตกต่างที่ระดับสูง เป็นต้นว่า
มีความหนาแน่นถึง 9 มิลลิบาร์ที่ก้นแอ่งที่ราบ และก็มีความหนา
แน่นเพียง 1 มิลลิบาร์ที่ยอดเขาโอลิมปุส มอนส์ ความหนาแน่น
ของบรรยากาศมีเพียงพอ ที่จะทำให้เกิดกระแสลมแรงมาก และ
พายุฝุ่นปกคลุมดาวเป็นเวลานับเดือน บรรยากาศที่เบาบาง
ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก ซึ่งทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นเพียง 5
องศาเคลวิน นับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับ ดาวศุกร์และ โลก ดาว
อังคารมีขั้วน้ำแข็งถาวร ปกคลุมทั้งสองขั้ว องค์ประกอบส่วน
ใหญ่เป็นน้ำแข็งแห้ง (คาร์บอนไดออกไซด์แข็งตัว) ซึ่งมี
โครงสร้างเป็นแผ่นน้ำแข็งทับถมตัวกัน ซึ่งบางครั้งก็สลับกับฝุ่น
สีเข้ม
การสำรวจดาวอังคาร
ประเทศรัสเซีย บุกเบิกสำรวจดาวอังคารมานานนับตั้งแต่ ยาน มาร์ส 1 - 7 ระหว่างปี พ.ศ.2505-2516 และส่งยานฝาแฝด โฟบอส 1 และ โฟบอส 2 ไปสำรวจดาวอังคารในปี 2531 สัญญาณสื่อสารจากโฟบอส 1 ขาดหายไปขณะเดินทาง เกิดจากแผงเซลสุริยะหันออกไป จากดวงอาทิตย์ ยานจึงหลุดหายและขาดการติดต่อกับโลก ส่วนยานโฟบอส 2 เข้าสู่วงโคจร รอบดาวอังคารสำเร็จ จนเมื่อยานเข้าใกล้ดวงจันทร์โฟบอสของดาวอังคาร ปล่อยยานลงพื้นดิน 2 ลำ ยานก้าวกระโดดสำรวจพื้นผิวดาวอังคาร 1 ลำ และยานลงจอดกับที่อีก 1 ลำ แต่หลังจากนั้น เครื่องคอมพิวเตอร์ในยานขัดข้องและสิ้นสุดโครงการในอีก 1 ปีต่อมาในปี 2539 รัสเซียส่งยาน มาร์ส 96 ไปสำรวจดาวอังคาร แต่จรวดท่อนที่ 4 ล้มเหลว ไม่สามารถส่ง ยานออกไปจากวงโคจร รอบโลกได้
โครงการไวกิงViking, สหรัฐอเมริกาพ.ศ.2519
ข้อมูลของดาวอังคารเปิดเผยโดย ยานมาริเนอร์ 4 ของสหรัฐอเมริกาในปี 2508 และ ยานมาริเนอร์ 6 และ 7 ในปี 2512 ส่งภาพถ่ายใกล้ดาวอังคาร พบเส้นทางยาวคดเคี้ยว แต่ไม่มีหลักฐานของคลองส่งน้ำที่เคยเชื่อกันเมื่อครั้งส่องกล้องโทรทรรศน์สังเกตจาก โลกแต่อย่างใดยานรายงานข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับบรรยากาศและขั้วน้ำแข็งบนดาวอังคาร
ดาวเคราะห์สีแดงถูกเปิดเผยมากที่สุดในประวัติศาสตร์การสำรวจดาวอังคารจาก
ยานไวกิง 1 และ 2 ของสหรัฐอเมริกา ในปี 2519 เมื่อยานฝาแฝดลงจอดบริเวณที่ราบสองแห่ง อยู่คนละซีกของดาวอังคาร ห่างกัน 6,500 กิโลเมตร แต่ผลการสำรวจออกมาคล้ายกัน พื้นภูมิประเทศโดยทั่วไประเกะระกะด้วยก้อนหินสีแดง หลากหลายขนาดและรูปร่างต่าง ๆ กัน
โครงการ มาร์ส พาธไฟน์เดอร์Mars Pathfinder,สหรัฐอเมริกา
พ.ศ.2539-2540
ยานมาร์ส พาธไฟน์เดอร์ เป็นยานอวกาศขนาดเล็กแบบประหยัดในโครงการอวกาศดิสคัพเวอรี (Discovery) ส่งออก 4 ธันวาคม 2539 ถึงดาวอังคาร 4 กรกฎาคม 2540 สิ้นสุดโครงการ 7 ตุลาคม 2540 ยานลงจอด บนพื้นที่ชื่อ อะเรส วาลลิส ตำแหน่งละติจูด 19.33 องศาเหนือ ลองจิจูด 33.55 องศาตะวันตก ใช้เทคนิคลงยานแบบใหม่ โดยเก็บยานไว้ภายในถุงลมนิรภัยขนาดใหญ่ 17 ฟุต ถุงลมนี้ถูกปล่อย ที่ระยะสูง 12 เมตร เหนือพื้นผิวดาวอังคาร ถุงลมที่พองตัวใหญ่จึงกลิ้ง กระดอนไปตามพื้น จนเมื่อจอดนิ่ง ยานอวกาศที่อยู่ภายในถุงลมสามารถตั้งลำตัวตรงได้เอง เมื่อถุงลมแฟบและหดตัวลง ประกอบด้วยยาน 2 ส่วน คือ ยานลงพื้นดินลำแม่ และ ยานลำลูก โซเจอร์เนอร์
ยานโซเจอร์เนอร์
ยานโซเจอร์เนอร์
ยานลำลูกซึ่งเป็นรถยนต์ 6 ล้อเล็กขนาดเท่าเตาไมโครเวฟเคลื่อนที่ไปตามรางลงจาก
ทันทีภายใน 3 นาทีแรกหลังจากยานลงแตะพื้นผิวดาวอังคารแล้ว
ยานอวกาศทั้ง 2 ลำ ถ่ายภาพพื้นผิวดาวอังคารบริเวณที่ลงจอด ส่งกลับมายังโลกหลายหมื่นภาพ พบว่าสภาพภูมิประเทศบนดาวอังคารคล้ายกับโลก พื้นที่เต็มไปด้วยก้อนหินขนาดเล็กใหญ่ต่าง ๆ
กันมากมาย ดิน หินเป็นสีน้ำตาลแดง สันนิษฐานว่าคงเคยเกิดน้ำท่วมใหญ่ไหลผ่านพื้นที่นี้มาก่อน ทำให้ก้อนหินลักษณะกลมและเอนไปในทิศทางเดียวกัน เห็นภูเขาสูง 2 แห่งอยู่ไกล ๆ ห่างออกไป
ราว 1.6 กิโลเมตร ท้องฟ้าเป็นสีชมพูด้วยอนุภาคฝุ่นฟุ้งกระจายขึ้นไป ในบรรยากาศของดาวอังคาร
ยานโซเจอร์เนอร์มีอายุงาน 7 วัน แต่ปฏิบัติงานได้นานเป็นเดือน สามารถขับเคลื่อนไต่ที่สูงชันได้ สูงถึง 13 เซนติเมตร ผ่านพ้นเครื่องกีดขวางและหลุมบ่อได้ ด้วยการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ และแสงเลเซอร์สำรวจระยะไกลภายในยาน
ส่วนยานแลนเดอร์มีอายุปฏิบัติงานนาน 30 วัน แต่สามารถทำงานได้ยาวนานราว 3 เดือน จนเครื่องมือสื่อสารในยานขัดข้องและยุติการส่งข้อมูลมายังโลกในวันที่ 7 ตุลาคม 2540 เข้าใจว่าเป็นเพราะอุณหภูมิที่ลดต่ำลงจนถึงระดับ -50 องศาเซลเซียส ขณะย่างเข้าฤดูหนาว
ผลการสำรวจดาวอังคาร
ยานโซเจอร์เนอร์ตรวจวิเคราะห์องค์ประกอบในหินดาวอังคาร ด้วยเครื่องมือแยกแสงพิเศษ โดยยิงอนุภาคอัลฟาไปยังก้อนหินและศึกษาปฏิกิริยาสะท้อนอนุภาคโปรตอน และรังสีเอกซ์ออกมา พบว่าดาวอังคารมีธาตุต่าง ๆ คล้ายกับบนโลก แต่มีสัดส่วนแตกต่างกัน ที่สำคัญพบว่า ดาวอังคารมีเหล็กออกไซด์ในสัดส่วนสูงกว่าบนโลก เครื่องมืออุตุนิยมวิทยาบนยานแลนเดอร์ รายงานสภาวะอากาศประจำวันในช่วงฤดูร้อนไม่เปลี่ยนแปลง
วิดีโอเกี่ยวกับดาวอังคาร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น